TH

10 August 2018

กลุ่มบางจากฯ ครึ่งปีแรกเติบโตอย่างมั่นคง ส่วนแบ่งการตลาดในตลาดค้าปลีกสูงเป็นประวัติการณ์

ผลการดำเนินงานกลุ่มบริษัท บางจากฯ ในครึ่งปีแรก 2561 มีรายได้ 89,783 ล้านบาท มี EBITDA รวม 6,358 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,494 ล้านบาท โรงกลั่นพร้อมกลั่นเต็มที่หลังหยุดซ่อมบำรุงประจำปี เพิ่มประสิทธิภาพควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม ยอดจำหน่ายตลาดค้าปลีกโตไม่หยุด มีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกสูงที่สุดในเดือนพฤษภาคม ร้อยละ 16 ธุรกิจในกลุ่มเติบโตต่อเนื่อง

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรก 2561 ว่าบริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 89,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) 6,358 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 2,494 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,153 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.56 บาท

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2561 บริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 45,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มี EBITDA 3,366 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,157 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 1,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.73 บาท

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท บางจากฯ ทำรายได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น มี EBITDA 1,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีปริมาณการผลิตลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 66,800 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 56 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น ซึ่งเป็นไปตามแผนการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี รวม 45 วัน และในครึ่งปีหลังนี้จะกลับมากลั่นเต็มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าการกลั่นพื้นฐาน ปรับลดลงจากปริมาณการผลิตที่ลดลง และจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ปรับตัวขึ้นในไตรมาสนี้ ทำให้มีกำไรจาก Inventory Gain 856 ล้านบาท

ความคืบหน้าของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงกลั่น ตามโครงการ 3E (Efficiency, Energy, and Environment Improvement Project, 3E Project) ขณะนี้ได้ผู้รับเหมามาดำเนินการออกแบบก่อสร้างหน่วยเพิ่มออกเทนและขยายกำลังการผลิตหน่วยแตกโมเลกุล และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ด้านกลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 509 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายรวม 1,455 ล้านลิตร ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปริมาณการจำหน่ายในส่วนของตลาดอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากการบริหารสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปในช่วงหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ขณะที่ปริมาณจำหน่ายในตลาดค้าปลีกซึ่งเป็นช่องทางหลักมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายฐานลูกค้าตามกลยุทธ์ที่วางไว้ มีค่าการตลาดรวมสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากและรวดเร็ว ซึ่งบริษัท บางจากฯ ได้ชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการเพื่อลดภาระให้กับผู้บริโภคในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมตรึงราคาหน้าสถานีบริการในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์

บริษัท บางจากฯ มีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการอยู่ที่อันดับ 2 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 เดือนแรกปี 61 มียอดการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ตลาดรวมขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดสะสม 5 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 15.7 และมีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกสูงสุดที่ร้อยละ 16 ในเดือนพฤษภาคม ผลจากการขยายจำนวนสถานีบริการมาตรฐานในพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีการรักษามาตรฐานการบริการ พร้อมจัดกิจกรรมที่หลากหลายในรูปแบบ Greenovative Experience พร้อมเปิดสถานีบริการเพิ่มขึ้น 71 สาขาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในพื้นที่ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบันบางจากฯ มีสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น 1,140 สาขาทั่วประเทศ

ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ทั้งร้านสะดวกซื้อ SPAR และร้านกาแฟอินทนิล ภายใต้การดูแลของบริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ยังคงพัฒนาและขยายสาขาต่อเนื่องเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 มีจำนวนร้านกาแฟอินทนิลทั้งสิ้น 492 สาขา และ SPAR 35 สาขา

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ มี EBITDA 793 ล้านบาท มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวม 81.58 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากโครงการผลิตไฟฟ้าฯ ในประเทศไทยที่มีค่าความเข้มแสงเฉลี่ยปรับลดลงจากฝนที่ตกต่อเนื่องยาวนานกว่าปกติ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากค่าความเข้มแสงเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยในไตรมาสนี้รับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ Gotemba กำลังการผลิตไฟฟ้าสัญญา 4 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น

สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ มี EBITDA 171 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจผลิตไบโอดีเซล 122 ล้านบาท และธุรกิจผลิตเอทานอล 74 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจผลิตไบโอดีเซล มีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้น จากสัดส่วนการผสม B100 ในน้ำมันดีเซลอยู่ที่ร้อยละ 7 ตลอดทั้งไตรมาส กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้ในการผลิตปรับลดลง แต่ปริมาณการจำหน่ายลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากโรงกลั่นบางจากหยุดซ่อมบำรุงประจำปี

ส่วนธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงเอทานอลแปลงสภาพ มีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับรู้ผลการดำเนินงานของ บริษัท เคเอสแอล กรีน อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) จากการควบรวมบริษัท โดยแบ่งเป็นปริมาณการผลิต เอทานอลจากมันสำปะหลัง เฉลี่ยที่ 96,000 ลิตรต่อวัน และปริมาณการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล เฉลี่ย 336,000 ลิตรต่อวัน และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA 36 ล้านบาท มาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีรายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่มีปริมาณการผลิตที่ลดลงตาม Natural decline curve ของ Nido โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัท บางจากฯ ได้ประกาศที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน OKEA ในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ (World Class Asset) อายุการผลิตต่อเนื่องระยะยาว ซึ่งคาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ ในช่วงปลายปี 2561 และได้เข้าทำรายการเพื่อขายแหล่ง Galoc คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสที่ 3

ทั้งนี้ บริษัท บางจากฯ มีแผนการผลักดันธุรกิจให้มีการเติบโตในระยะยาว มีแนวทางการบริหารงานและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพ รวมถึงสถาบัน BiiC ที่มีส่วนสำคัญในการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ตามแนวทางที่ดำเนินอยู่บนความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมเพื่อสร้างความสมดุลอย่างยั่งยืน