14 พฤศจิกายน 2568
ACCF (กรอบความร่วมมือด้านตลาดคาร์บอนอาเซียน) รายงานความคืบหน้า ในเวที COP30 หลังครบรอบ 1 ปีการลงนาม
Carbon Markets Club ร่วมสนับสนุนภารกิจสื่อสาร เพิ่มการรับรู้ และเสริมศักยภาพ
กรอบความร่วมมือด้านตลาดคาร์บอนอาเซียน (ASEAN Common Carbon Framework: ACCF) เป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจบนเวที ASEAN Pavilion ในการประชุม UNFCCC COP30 ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล โดยมีการเสวนาในหัวข้อ “ASEAN Common Carbon Framework: Bridging National Priorities with Regional Goals” ซึ่งองค์กรผู้ลงนาม ได้แก่ Malaysia Carbon Market Association (MCMA) ASEAN Alliance on Carbon Markets (AACM) และ Singapore Sustainable Finance Association (SSFA) ร่วมเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ แม้ผู้แทนจาก Carbon Markets Club (CMC) จากประเทศไทยและ Indonesia Carbon Trade Association (IDCTA) จะไม่ได้ร่วมเวทีเสวนาในการประชุมปีนี้ แต่ทั้ง 2 องค์กรยังคงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาและดำเนินงานของ ACCF
ผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ Dr. Renard Siew ประธาน MCMA และประธาน ACCF Steering Committee Natalia Rialucky รองประธาน AACM และ Anshari Rahman ผู้แทน SSFA ใน ACCF Steering Committee โดยมี Kavitha Menon ผู้อำนวยการ SSFA เป็นผู้ดำเนินการเสวนา โดยผู้ร่วมเสวนาได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของ ACCF ในการประชุม COP29 ผ่านบันทึกความร่วมมือ (MoC) ในฐานะกลไกของภาคอุตสาหกรรม เพื่อเชื่อมโยงการทำงานด้าน สภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศเข้ากับเป้าหมายระดับภูมิภาค และร่วมกันยกระดับตลาดคาร์บอนของอาเซียน ให้มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดย Dr. Renard กล่าวว่า “ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ACCF ได้พัฒนาจากเพียงแนวคิดไปสู่แผนงานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น กำหนดหลักการและแนวทางร่วมกันที่จะช่วยให้แต่ละประเทศทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และส่งเสริมให้ตลาดคาร์บอนของอาเซียนเชื่อมโยงกันมากขึ้น”
ความก้าวหน้าของภารกิจของ ACCF เริ่มได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในระดับอาเซียน โดยมี การกล่าวถึงในการแถลงข่าวร่วมของการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนครั้งที่ 57 แถลงการณ์ร่วมอาเซียน ต่อ COP30 และเอกสาร Guidance for an ASEAN Voluntary Carbon Market ของ ASEAN Capital Markets Forum ซึ่งสะท้อนว่ากรอบความร่วมมือนี้กำลังได้รับการพิจารณาในฐานะหนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยสนับสนุน การพัฒนาตลาดคาร์บอนในภูมิภาค
แผนการดำเนินงานของ ACCF แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การจัดทำข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาด และการสื่อสารควบคู่กับการเสริมสร้างศักยภาพของผู้เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีงานสนับสนุนที่ต้องทำไปพร้อมกัน เช่น การประสานนโยบายและกฎระเบียบ รวมถึงการทดลองโครงการนำร่องต่าง ๆโดยเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาตลาดคาร์บอนในอาเซียน คือการดำเนินงานให้สอดคล้องกับ Article 6 ของ ความตกลงปารีส และการออกแบบระบบซื้อขายที่ประเทศต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
สำหรับภารกิจต่อเนื่องของ ACCF จะมุ่งขยายการมีส่วนร่วมของประเทศสมาชิกอาเซียนให้กว้างขึ้น พร้อมเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานเฉพาะทางของอาเซียน เดินหน้าสู่การได้รับการยอมรับหรือการรับรองหลักการในระดับภูมิภาคเมื่อมีความพร้อม ร่วมกันพัฒนาโครงการสาธิตเพื่อทดสอบระบบและโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ และกำหนดรูปแบบการสืบทอดบทบาทผู้นำหลังครบกรอบเวลาบันทึกความร่วมมือ 2 ปีแรก ซึ่งอาจใช้วิธีการหมุนเวียนในหมู่สมาคมสมาชิก เพื่อให้การดำเนินงานของ ACCF ดำเนินต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ร่วมเสวนาสรุปว่า ความสำเร็จของ ACCF ในช่วงต่อไปจะสะท้อน ผ่านหลักเกณฑ์ระดับภูมิภาคที่ชัดเจน โครงการสาธิตที่พิสูจน์ความเชื่อมโยงของระบบได้จริง และสัญญาณการลงทุนที่แข็งแรงขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันเงินทุนไปสู่โครงการคาร์บอนคุณภาพสูงทั่วภูมิภาคอาเซียน
นางกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธาน Carbon Markets Club (CMC) ในฐานะผู้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ACCF กล่าวว่า “ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความคืบหน้าของ ACCF ทั้งในด้านการประสานนโยบาย การพัฒนาแนวทางร่วมกัน และการขยายความร่วมมือในอาเซียน ขณะเดียวกัน ACCF กำลังอยู่ระหว่างการจัดวางระบบการสื่อสารหลักของตนเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น CMC จึงจะร่วมสนับสนุนภารกิจด้านการสื่อสารและ การเสริมสร้างศักยภาพของ ACCF ในปีหน้า เพื่อแนะนำ ACCF ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงาน และเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดคาร์บอนที่มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ในอนาคต โดยความร่วมมือนี้จะดำเนินไปพร้อมกับพันธมิตร ACCF รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศไทยและทั่วภูมิภาค”