โครงสร้างธุรกิจ
โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ เป็นแบบ Complex Refinery มีกำลังการผลิตสูงสุด 120,000 บาร์เรลต่อวัน สามารถผลิตน้ำมันกลุ่มเบนซินและดีเซลได้เป็นส่วนใหญ่ โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์และน้ำมันดีเซลจากโรงกลั่นน้ำมันบางจากเป็นน้ำมันที่ได้คุณภาพตามข้อกำหนดมาตรฐานยูโร 4 ของภาครัฐ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นและเสถียรภาพโรงกลั่นให้สูงสุดควบคู่ไปกับการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการ FAST+, โครงการ 3E อีกทั้งบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นที่จะใช้ไฟฟ้าและไอน้ำที่ผลิตโดยโรงไฟฟ้าพลังงานร่วม (Cogeneration Power Plant) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนการใช้น้ำมันเตา
กลุ่มธุรกิจการตลาด จำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นให้กับผู้บริโภค ผ่านเครือข่ายสถานีบริการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ทั่วประเทศรวม 1,277 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายสถานีบริการมาตรฐานจำนวน 662 แห่ง และสถานีบริการชุมชนจำนวน 615 แห่ง (ณ 31 ธันวาคม 2564) รวมถึงการจำหน่ายให้กลุ่มผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรม ขนส่ง สายการบิน เรือขนส่ง ก่อสร้าง และเกษตรกรรมพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าด้วยธุรกิจนอนออยล์ต่าง ๆ ในสถานีบริการ ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด
บริษัทฯ ลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยถือหุ้นร้อยละ 57.46 ในบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2559 เพื่อประกอบธุรกิจและลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงาน สีเขียวรูปแบบต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น
ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานทดแทน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลการค้าจากการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ สนับสนุนเกษตรกร และรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ส่งเสริมสนับสนุนการนำเอทานอลและไบโอดีเซลมาผสมกับน้ำมันเบนซินและดีเซล เป็นผลิตภัณฑ์แก๊สโซฮอล์ และ ไบโอดีเซลเกรดต่าง ๆ โดยบริษัทฯ ลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ผ่านการถือหุ้นในบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI
บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 320 ล้านบาท ซึ่งมี BBGI ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51 จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบธุรกิจผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออกผลิตภัณฑ์ชีวภาพและเคมีภัณฑ์ทุกประเภท
สำหรับบริษัทอื่นที่ลงทุน ได้แก่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเมื่อวันที่ 21-23 กันยายน 2564 บริษัท อุบลฯมีการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท BBGI จึงปรับลดลงจากร้อยละ 21.28 เป็นร้อยละ 12.39
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ เป็น 1 ใน 5 ธุรกิจหลัก ซึ่งจะดูแลและพัฒนาธุรกิจต้นน้ำของปิโตรเลียม ธุรกิจแร่ลิเทียม และ ธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติเหลว โดยบริษัทฯ ได้จัดตั้ง บริษัท บีซีพีอาร์ จำกัด ขึ้นในประเทศไทย และ BCPR Pte. Ltd. ขึ้นในประเทศสิงคโปร์ เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม บริษัท บีทีเอสจี จำกัด ขึ้นในประเทศไทย เพื่อดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas (LNG)) และได้ จัดตั้งบริษัท BCP Innovation Pte. Ltd. ขึ้นในประเทศสิงคโปร์ เพื่อดำเนินธุรกิจแร่ลิเทียม และ ธุรกิจ Startup
เพื่อมุ่งสู่การเป็นกลุ่มบริษัทนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำในเอเชีย บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในด้านนวัตกรรมพลังงานใหม่ๆ เช่น ธุรกิจลิเทียมซึ่งสามารถนำมาใช้ผลิตแบตเตอรี่ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Cars) และการต่อยอดผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based Products) ที่เดิมเน้นการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อย (Venture Capital) เพื่อประกอบกิจการเงินร่วมลงทุน และ/หรือลงทุนในธุรกิจ Startup ในประเทศไทยที่ประกอบกิจการใน 10 กิจการที่รัฐต้องการสนับสนุนตามกฎหมาย