27 June 2025
Regenerative Steps
คอลัมน์ Everlasting Economy: Regenerative Reflections มิถุนายน 2568 โดย ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เมื่อวันก่อนผมไปอ่านเจอบทความใน BBC online และคิดว่าเป็นประโยชน์ เลยขออนุญาตนำมาแชร์ให้พวกเราอ่านกันด้วย เขาจั่วหัวเรื่องว่า “ความเร็วในการย่างก้าวกับอายุสมองของคนเรา” แค่ฟังหัวเรื่องก็น่าสนใจแล้วนะครับ
นักวิจัยพบว่า ความเร็วในการย่างก้าวหรือการเดินของเรา ไม่ได้สะท้อนเพียงสมรรถนะทางกายภาพภายนอกของร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยทำนายถึงสุขภาพภายใน ทั้งโอกาสป่วยเข้าโรงพยาบาล ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือแม้กระทั่งสามารถบอกได้ว่าอายุสมองของเรากำลังเสื่อมหรือไม่ และในอัตราเช่นไร ซึ่งก็แน่นอนว่า เมื่ออายุมากขึ้น เราจะก้าวเดินได้ช้าลง หรือสุขภาพจะเริ่มถดถอยนั่นเอง ทีนี้ เรามาทดลองดูว่า ความเร็วปกติของแต่ละช่วงอายุควรจะเป็นเท่าไหร่
วิธีง่าย ๆ ที่จะวัดความเร็วของการก้าวย่างคือ ลองหาพื้นที่สัก 15 เมตร แล้วให้จับเวลา โดยเริ่มจับเวลาจากหลักเมตรที่ 5 ถึง 15 (สาเหตุ เพราะ 5 เมตรแรกเราอาจจะยังวอร์มอัพอยู่ จึงไม่ใช่ความเร็วปกติ) เมื่อได้ตัวเลขเวลา แล้วหารด้วย 10 จะได้ความเร็วเป็น เมตร/วินาที แล้วเทียบค่าเฉลี่ยในการก้าวย่างของแต่ละช่วงอายุตามตารางข้างล่าง
อายุ 40~49 ปี ผู้หญิง 1.39 เมตร/วินาที ผู้ชาย 1.43 เมตร/วินาที
อายุ 50~59 ปี ผู้หญิง 1.31 เมตร/วินาที ผู้ชาย 1.43 เมตร/วินาที
อายุ 60~69 ปี ผู้หญิง 1.24 เมตร/วินาที ผู้ชาย 1.43 เมตร/วินาที
อายุ 70~79 ปี ผู้หญิง 1.13 เมตร/วินาที ผู้ชาย 1.26 เมตร/วินาที
อายุ 80~89 ปี ผู้หญิง 0.94 เมตร/วินาที ผู้ชาย 0.97 เมตร/วินาที
การศึกษาพบว่าการย่างก้าวกับอายุขัยของคนที่มีอายุนั้น ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในการศึกษาจาก University of Pittsburgh วิจัยประชากรกว่า 34,000คน พบว่าสำหรับคนที่อายุ 75 ปี ถ้าความเร็วในการก้าวเดิน ช้ากว่าตารางข้างบน จะมีคนที่มีอายุยืนขึ้นอีก 10 ปี หรือคือมีอายุถึง 85 ปี แค่ 19% แต่ถ้าในกลุ่มคนที่เดินเร็วกว่าตัวเลขข้างบน จะมีโอกาสที่จะอยู่ต่ออีก 10 ปี จะมากถึง 87% นอกจากนี้ การศึกษาในฝรั่งเศสพบว่าในหมู่คนที่อายุเกิน 65 ปีนั้น คนที่เดินช้ามีโอกาสเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจได้มากกว่าคนที่เดินเร็วถึง 3 เท่า
การเดินแม้ว่าจะเป็นกิจกรรมง่าย ๆ แต่เป็นกิจกรรมที่อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายต้องทำงานพร้อมกันและประสานกัน ทั้งกระดูกและกล้ามเนื้อในการขับเคลื่อนร่างกาย ดวงตาที่มองว่าจะไปไหนแล้วส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อสั่งการ ปอดและหัวใจทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนและหมุนเวียนเลือด เป็นต้น จึงเป็นทั้งการออกกำลังกายที่ดี และเป็นการฝึกให้ร่างกายและประสาทได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศนิวซีแลนด์ มีการวิจัยกับคนอายุ 45 ปี (ซึ่งไม่จัดว่าเป็นคนสูงอายุ) จำนวนเกือบ 1,000 คน ที่มีการตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกปี ตลอดอายุขัย พบว่า การเดินของคนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นไปตามค่าเฉลี่ยอย่างที่เราคิดกันว่าควรจะเป็น แต่มีความเร็วที่หลากหลายมาก ทั้งเดินเร็วแบบคนอายุ 20 ปี และเดินช้า สิ่งสำคัญที่พบคือ กลุ่มคนที่เดินช้ากว่าคนอื่นนั้น ไม่เพียงแต่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันสูง ไขมันสูง หรือภูมิต้านทานต่ำ แต่ยังได้เห็นถึงความเสื่อมอย่างรวดเร็วของสมอง ซึ่งวัดได้จากการทำข้อสอบทางด้าน IQ การวัดความจำ หรือการทดสอบความเร็วในการตอบคำถามง่ายๆ (speed test แบบ Genwit) และเมื่อทำ MRI scan ยังพบว่าก้อนสมองของคนกลุ่มนี้มีการฝ่อเร็วกว่าปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยยังพบว่าสัญญาณเตือนเหล่านี้ เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่เด็กเล็ก อายุ 3 ขวบ ด้วยซ้ำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพื้นฐานการเคลื่อนไหวในวัยเด็ก อาจสะท้อนสุขภาพในระยะยาวได้เช่นกัน
ฉะนั้น ถ้าท่านผู้อ่านทดลองวัดแล้ว พบว่าเราก้าวเดินช้ากว่าตัวเลขข้างบน ก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ขอให้เริ่มทำในสิ่งต่อไปนี้ เช่น พยายามจอดรถให้ไกลจากลิฟท์ ว่าง ๆ ก็ลองเดินขึ้นลงบันไดบ้าง ช่วงพักกลางวัน เดินออกไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารหรือสถานที่ใกล้ ๆ สำนักงาน เวลานั่งทำงาน ทุก ๆ ชั่วโมง ก็ควรลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือไปคุยกับเพื่อนร่วมงานบ้าง การเดินแค่ 5 นาที ช่วยให้เราอายุยืนขึ้น และยังคงความเฉียบคมของสมองได้ยาวนานด้วย
ในยุคที่หลายคนนั่งทำงานโดยใช้ชีวิตอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือใช้เวลานั่งประชุมหลาย ๆ ชั่วโมงในแต่ละวัน การตระหนักถึงคุณภาพของการเคลื่อนไหวจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าการออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพียงเราใส่ใจให้มีการขยับตัวเล็ก ๆ ตลอดวัน ก็จะสามารถสร้างผลดีต่อสุขภาพกายและสมองในระยะยาวได้นะครับ