TH

24 October 2025

Rejuvenating Plasma

คอลัมน์ Everlasting Economy: Regenerative Reflections ตุลาคม 2568 โดย ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

เราคงได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่า ถ้าเราพบเจอผู้คน มีสังคมสม่ำเสมอ จะช่วยให้สมองเราทำงาน และทำให้เรามีอายุที่ยืนยาวขึ้น แต่เราสังคมกับคนรุ่นใหม่ อายุน้อยกว่า ก็น่าจะช่วยพัฒนาสมอง ให้เจออะไรใหม่ ๆ และนอกจากจะอายุยืนแล้วยังน่าจะทำให้เราเด็กลงอีกด้วย หลาย ๆ คนจึงแอบคิดว่า การมีคู่ที่อายุน้อยกว่า น่าจะทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยได้ดียิ่งขึ้น (อะแฮ่ม)

มีนักวิทยาศาสตร์ที่ไปไกลกว่าการแค่มีเพื่อนหรือคู่ชีวิตที่เด็กกว่า ชื่อโทนี่ วิส คอเรย์ (Tony Wyss-Coray) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ทำการทดลองกับหนูทดลอง 2 ตัว เป็นหนูอายุน้อย 1 ตัว และหนูอาวุโสอีก 1 ตัว แล้วนำมาผูกติดกันโดยเย็บเส้นเลือดใหญ่ของหนูทั้ง 2 ให้เชื่อมกัน (เป็นการทดลองที่ฟังดูแล้วทรมานสัตว์มาก แต่การทดลองทางการแพทย์ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้นะครับ เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์) แล้วปล่อยให้หนูทั้ง 2 อยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง

จากการศึกษา พบว่าการหมุนเวียนของเลือดจากหนูตัวอายุน้อยร่วมกับตัวอาวุโส ช่วยให้เลือดของหนูอาวุโสมีคุณภาพดีขึ้น กล่าวคือ พลาสมาเลือดของหนูอาวุโสมีคุณภาพสมบูรณ์ขึ้น การอักเสบของสมองลดลง สเต็มเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น และความจำของหนูอาวุโสดีขึ้นมาก

พลาสมาของเลือด หรือส่วนที่เป็นของเหลวของเลือด คิดเป็นประมาณ 55% ของเลือดทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 45% คือเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด (platelet) พลาสมา นอกจากทำหน้าที่ลำเลียงเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกายแล้ว ยังประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก รวมถึงโปรตีน ฮอร์โมน และแอนติบอดีที่ถูกส่งไปทั่วร่างกาย จึงมีคนเปรียบเทียบว่าพลาสมาเหมือนอินเทอร์เน็ตของร่างกาย ที่คอยส่งสารและสัญญาณต่าง ๆ ไปทั่วระบบ โดยเฉพาะสมอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของร่างกาย คนเราอายุจะยืนหรือสั้น ก็ขึ้นอยู่กับ “อายุของสมอง” ดังที่ผมเคยเล่าไว้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

การที่พลาสมามีอายุน้อย (young blood) จึงทำให้การทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำสาร การส่งสัญญาณ หรือการไหลเวียนของโปรตีนและแอนติบอดี มีคุณภาพดีขึ้น แต่เมื่อพลาสมามีอายุมากขึ้น ก็จะเกิดความเสื่อม - บางส่วนทำงานไม่สมบูรณ์ บางส่วนอาจมีโปรตีนสะสมจนเป็นพิษต่อร่างกาย โดยเฉพาะในสมอง

คุณโทนี่จึงนำสิ่งนี้มาต่อยอดกับโรคที่รักษายากในหมู่ผู้สูงอายุ เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งปัจจุบันทางการแพทย์พบว่า ความเสื่อมของสมองมีสาเหตุหลักจากโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อโปรตีนอะไมลอยด์เบตา (Amyloid beta) ที่ไม่หลุดออกตามปกติ แต่ไปเกาะพอกอยู่บริเวณปลายประสาท เมื่อสะสมจนเป็นก้อน จะทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่และเกิดภาวะความจำเสื่อม หากเรามีพลาสมาที่ยังหนุ่มและทำงานได้ดี ก็อาจช่วยสลาย Amyloid ที่เกาะอยู่ออกมาได้ จึงอาจช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการอัลไซเมอร์ได้

บริษัท Grifols จากประเทศสเปน ซึ่งเป็นคลินิกที่ซื้อลิขสิทธิ์งานวิจัยของคุณโทนี่อย่างสมบูรณ์ ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยการนำเลือดของผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุออกมาครั้งละประมาณ 2.5 ลิตร แล้วนำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge เพื่อแยกและคัดเอาโปรตีนในพลาสมาที่เสื่อมออก จากนั้นเติมพลาสมาของคนหนุ่มที่มีคุณสมบัติเข้ากันได้ หรือในบางครั้งใช้สารละลายโปรตีนที่เรียกว่า albumin ผสมเข้าไปในพลาสมาของผู้ป่วย แล้วฉีดกลับเข้าไป โดยทำเป็นโปรแกรมต่อเนื่องหลายเดือน

ผลจากการทดลองรักษาดังกล่าวพบว่า อาการของผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับ เพราะโปรตีน albumin มีคุณสมบัติในการจับ (bind) Amyloid แล้วนำออกจากปลายประสาทเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายกำจัดต่อไป ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีนี้มีผลลัพธ์ดีในระดับเดียวกับการใช้ยา แต่มีข้อดีคือ ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น สมองบวม หรือเลือดออกในสมองเล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์จึงมองว่านี่อาจเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการอัลไซเมอร์ แต่ยังอาจช่วยบรรเทาโรคเสื่อมของระบบประสาทอื่น ๆ (neurodegenerative diseases) เช่น โรคพาร์กินสันได้ด้วย

ตอนที่คุณโทนี่ค้นพบเรื่องการเปลี่ยนเลือดระหว่างหนูอายุน้อยกับหนูอาวุโส เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนั้น ก็ทำให้เกิดกระแสการฉีดสเต็มเซลล์เพื่อให้เด็กลง เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก ไม่เฉพาะในซีกโลกตะวันตก แม้แต่ในเมืองไทยก็มีดรามาเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แม้ว่า FDA หรือองค์การอาหารและยาของหลาย ๆ ประเทศจะออกมายืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการฉีดสเต็มเซลล์ช่วยให้หนุ่มสาวขึ้นได้จริง หรือช่วยให้อายุหรืออวัยวะทำงานได้เหมือนหนุ่มสาวอย่างที่เราเข้าใจ แต่ปัจจุบัน การรักษาโรคเกี่ยวกับความเสื่อมของสมองนั้น ก็มีหลักฐานทางการแพทย์ในระดับหนึ่งว่า การใช้วิธีการแบบสเต็มเซลล์สามารถช่วยบรรเทาอาการได้จริง และน่าจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางของการแพทย์ทางเลือกที่ควรค่าแก่การศึกษาและพิจารณาต่อไปนะครับ