TH

26 September 2025

Regenerative Mind

คอลัมน์ Everlasting Economy: Regenerative Reflections กันยายน 2568 โดย ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

หลังจากประเทศไทยได้มีการเปิดเสรีด้านการศึกษาในสมัยรัฐบาลนายกอานันท์ ปันยารชุน ในพ.ศ. 2534 เราก็ได้เห็นการเกิดขึ้นของโรงเรียนนานาชาติหลายๆ แห่ง ทั้งที่เป็นการขอยืมใช้แบรนด์ที่ติดหูในประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาที่สมัยรุ่นปู่หรือรุ่นพ่อต้องนั่งเรือไปเรียน ไปจนถึงการเปิดโดยใช้ชื่อว่าโรงเรียนนานาชาติแต่อาจจะสอนโดยอาจารย์ต่างประเทศจากภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจากฟิลิปปินส์ ที่พูดภาษาอังกฤษกันค่อนข้างดี จนถึงโรงเรียนเก่าแก่ที่อยู่กันมาเป็น 100 ปีในประเทศไทยก็เปิดหลักสูตร bilingual ขึ้น เพื่อตอบโจทย์ในแง่ของความนิยมที่เกิดจากการเรียนหลักสูตรนานาชาติ

นโยบายดังกล่าว ในแง่มุมหนึ่ง ก็เป็นการยกระดับการศึกษาของประเทศไทย ที่ทำให้อย่างน้อย ความสามารถด้านภาษาของเด็กไทยรุ่นใหม่ดีขึ้น มีโอกาสในสังคมมากขึ้นเมื่อเรียนจบ ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ในครอบครัวรุ่นตั้งแต่ Gen Y ลงมา ไม่ต้องส่งลูกไปเรียนกันไกลๆ และครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้ามากขึ้น โดยไม่ต้องเลือกว่า อยากจะให้ลูกได้เรียนที่ดีๆ แต่อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เป็นต้น และที่น่าจะสำคัญอยู่ไม่น้อยคือ ทำให้เกิดโรงเรียนนานาชาติที่นอกจากจะตอบโจทย์ลูก ๆ ของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการดึงให้ผู้มีอันจะกินในประเทศต่าง ๆ รอบ ๆ บ้านเรา ส่งลูกมาเรียนในเมืองไทยด้วย ก็เป็นการช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งอีกด้วยนะครับ

แต่ที่จะมาชวนคุยวันนี้ จะเป็นเรื่องการวิจัยที่ว่าการที่คนเราสามารถพูดได้สองหรือหลายภาษาจะมีผลดีหรือร้ายอย่างไรต่อสมอง หรือ cognitive advantage อย่างไร ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ การศึกษาจำนวนมากในอดีตพบว่า คนที่สามารถพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานั้น สมองจะทำงานเหมือนกับสมองของ CEO ของบริษัทเลย (executive function) กล่าวคือ จะเป็นคนที่มีสมาธิสูง แก้ปัญหาเชิงซ้อนที่ยากๆ ได้ และที่สำคัญคือสามารถเปลี่ยนความเชื่อของตนเองได้ ถ้ามีการพบหลักฐานหรือข้อมูลใหม่ที่ขัดแย้งกัน ถ้าฟังดูวิชาการไป ก็มีอีกการศึกษาที่ทำอย่างง่ายๆ คือเอาคนที่เป็นล่ามมืออาชีพ มาทำเลข บวกลบ สลับกันหลายๆ โจทย์กับคนที่พูดได้ภาษาเดียว ซึ่งพบว่า ล่ามที่ต้องพูดสองภาษาตลอดเวลานั้น ทำได้เร็วกว่าและถูกต้องกว่า (หรือนี่จะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่คุณคมสันต์ ลี สามารถก่อตั้ง Flash Express ได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี จนกลายเป็นสตาร์ตอัป unicorn ตัวแรกของไทย?)

เวลาพูดถึง bilingual ในที่นี้ หมายถึงคนที่ต้องใช้สองภาษาตลอดเวลา พูดสลับไปมาระหว่างวัน หรือต้องเขียนสลับไปมาตลอดนะครับ หรือถ้าจะให้ดี ก็พูดสองภาษาเหมือนเจ้าของภาษานั้น ๆ เลย ส่วนการที่เราเคยเรียนภาษาที่สองในห้องเรียนชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย แล้วพูดได้บ้าง นาน ๆ ใช้ที แบบนี้ไม่นับนะครับ เพราะไม่ได้ฝึกสมองตลอดเวลา จึงไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการทำงานของสมองนัก และที่สำคัญ คือการเรียนภาษาที่สองไม่จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่เด็กหรือช่วงมัธยม เราๆ ที่อายุมากแล้วก็สามารถเรียนภาษาใหม่ได้ และยังส่งผลต่อการพัฒนาสมองเช่นเดียวกัน แม้อาจจะไม่ได้ถึงขั้นทำให้สมองทำงานแบบ executive function หรือเหมือนกับ CEO ของบริษัท แต่การศึกษาก็พบว่ายังสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของวัยและอวัยวะได้ แล้วก็มีอีกงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่บอกว่า คนที่พูดสองภาษานั้น ในบั้นปลายชีวิตอาจจะมีโอกาสที่จะเป็น dementia หรือสมองเสื่อมช้ากว่าคนทั่วไปเฉลี่ยราว 4 ปี แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันในขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์

การศึกษายังพบอีกว่า การเรียนภาษาที่สองก่อนอายุ 6 ขวบจะช่วยพัฒนาสมองได้ดีกว่าคนที่เริ่มเรียนหลังจากนั้น เพราะสมองของวัยรุ่นน่าจะพัฒนาได้เท่าทันกันแม้จะมีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันหลายปี ที่น่าสนใจคือ คนที่ต้องดิ้นรนมากๆ เช่นเด็กที่ฐานะไม่ค่อยดีในต่างจังหวัด ถ้าได้มีโอกาสได้พูดสองภาษา มักมีแนวโน้มว่าจะมี cognitive advantage มากกว่าคนที่เป็นลูกทูตที่ต้องเรียนสองภาษาตามสภาพแวดล้อม แม้จะยังไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่ก็มีการคาดว่าการใช้ภาษาแบบนอกห้องเรียนจริง ๆ ทำให้สมองได้รับการฝึกหนักกว่า และส่งผลที่ดีกว่า ซึ่งมีการวิจัยพบว่าการที่เราพูดสองภาษาหรือมากกว่านั้น ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ตอนเด็กเลย ก็ควรจะเริ่มตอนเป็นอาวุโสแล้ว จะช่วยพัฒนาได้ดีกว่าคนที่เริ่มตอนกลางคน

ไม่ว่าอย่างไร การพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา ก็ทำให้เราเปิดโลกทัศน์ได้กว้างขึ้น เข้าใจ เข้าถึงและซึมซับวัฒนธรรมต่างๆ ได้ดีกว่า ซึ่งก็น่าจะนับว่าเป็นกำไรชีวิตของเราแล้วครับ แต่ต้องเป็นการใช้ภาษาที่สองอย่างจริงจังจนใกล้เคียงกับภาษาแม่ ไม่ใช่พูดไทยคำอังกฤษคำแบบที่เราได้ยินกันทั่วไปนะครับ